Animated Spinning Kunai - Naruto

อักษรวิ่ง

ยินดีต้อนรับสู่บล็อกเเห่งการเรียนรู้

วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2567

แนะนำตัวละคร เข้าอ่านหน่อยคับ

 

เเนะนำตัวละครเเบบฉ่ำ


สุเทษณ์
เป็นเทวดาที่เเอบรักนางมัทนามานานคับเเต่อาภัพรักไม่เคยได้สมหวังกับนางสักครั้ง เป็นคนครั่งรัก เเล้วก็ปากหวานมาก อันนี้คิดเองผมใส่ฟิลเตอร์ เป็นพระเอกครับ ถึงเหี้ยเเต่ไม่ใช่ตัวร้าย

นางมัทนา
เป็นนางเอกเเกร่งครับ ใจเเข็ง ไม่ยอมตกเป็นเบี้ยร่างของผู้ชาย พร้อมต่อย เเต่เขาเป็นเทพเลยต้องยอม

จิตระเสน
เหมือนมือขวาของสุเทษณ์ น่าจะเชียวเรื่องดนตรี เเละการรำ เท่าที่ดูก็เป็นครอบรอบใจเย็น เเบบพ่อบ้านใจดีในมานฮวาทุกเรื่องเเหละครับ

จิตระรถ
เหมือนมือซ้ายขอสุเทษณ์ในเมื่อมีพ่อบ้านดีเเล้วก็ต้องมีพ่อบ้านที่เเกมโกงคับ คนนี้น่าจะเก่งเรื่องวาดรูป เป็นจิตรกรเอกเลย ฉลาดเเบบร้ายๆ ถ้าเป็นอนิเมะก็น่าจะเเย่งซีนพระเอกสุดๆอะ

มายาวิน
เป็นฟิลล์หมอผีครับ รู้เยอะรู้จริง เเต่เป็นคนไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก็หมอผีอะ  เเต่เป็นคนรู้จักพูดนิดนึ่ง ก็ ดีครับ ตัวประกอบก็เเค่นี้



ตัวละครเสริมที่ต้องการครับ

นางรำ ห้าคน
คนเล่นดนตรี สี่คน (ร่วมจิตระเสนก็5พอดี)
คนที่ค่อยขนของเข้าฉากอีกสองคน
เป็นไปได้ก็อยากได้คนคุมเสียงนหนึ่ง ถ้าว่างพอที่จะหาดนตรีมาใส่อะนะ

ประมาณนี้ครับเพื่อนรักหลักจากนี้ก็พยายามเข้าครับ นายทำได้​

มัทนะพาธา ห้าสิบสามกอ

 




เริ่มเรื่องด้วย เป็นเรื่องในท้องพระโรง มีสุเทษนั่งเเบบสบายๆฟังเพลง ข้างหน้ามีจิตระเสนนั่งอยู่ ด้านข้างมีเหมือนลูกน้องนั่งเข้าเฝ้าอยู่ ข้างหลังจิตระเสนมีเเก๊งนักดนตรี กำลังเล่นเพลงล้อสุเทษอยู่ พอเริ่มเล่นดนตรีไปสักพัก สุเทษก็เริ่มไม่พอใจเพราะโดนล้อเลย กระทืบเท้า!ตึ้ง! เเล้วดนตรีก็หยุดลง

"จิตระเสนนี่ มึงเล่นล้อกูรึ"  สุเทษพูดเสียงดังด้วยอารมร์โกรธ


"ข้าไม่บังอาจขอรับ" จิตรเสนก้มหน้าตอบ


"เเล้วทำไมมึงพูดถึงกูเเบบนี้ อยากให้กูเจียมตัวงั้นรึ มึงก็รู้ว่ากูเศร้า ที่ไม่ได้สมใจ" สุเทษตบเข่าชาด พรางหันหน้าหนีเพราะอารมณ์เสีย


"ข้าเพียงเเค่หวังดี อยากให้ท่านอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง"


"เเต่กูไม่พอใจ มึงไล่พวกมันไปเดี๋ยวนี้เลย"


"พอแล้ว ไปได้"


พอได้ยินคำสั่งประกาศลั่นจิตรเสนก็หันไปออกคำสั่งไล่ให้นักดนตรีออกจากท้องพระโลงไป


"ข้าได้เตรียมนางอัพสรไว้ให้ท่าน ถ้าท่านสนใจ ข้าจักขอเรียกเข้ามาให้" สุเทษที่อารมณ์เสียอยู่ก็เลิกคิ้วด้วยความสนใจเล็กน้อย ก่อนที่จะเอ่ยปาก


"ก็ลองเรียกเข้ามา เผื่อกูจะอารมณ์ดีขึ้นมา"


"เข้ามาได้"

เเละเหล่านางรำก็ค่อยๆเดินเข้าในท้องพระโรงพร้อมรำต่อหน้าสุเทษ

เเต่สุเทษทำหน้าไม่เเฮปปี้เท่าไหร่ พร้อมยกมือขึ้นเพื่อบอกให้พวกนางหยุดรำ พวกนางรำก็ก้มหัวให้เเล้วเดินออกไป


จิตระเสนจึงเอ่ยถามถึงเหตุผล "ทำไมรึท่าน มีอะไรไม่ถูกใจก็บอกให้ข้าได้รู้เถิด"


"ไม่มี เพลงเพราะ รำก็ดี เเต่กูกำลังเศร้า มึงก็รูว่าเพราะอะไร" ทำหน้าเศร้าเมื่อพูดถึงความรักที่ไม่สมหวังของตน


"ข้าเข้าใจขอรับ เรื่องความรักของท่านเเเสนหนักใจ เเต่บนสวรรค์ก็มีนางสวยๆอยู่เยอะหน่าท่าน  ข้าว่าคงมีนางที่ท่านจักถูกใจอยู่บ้าง"


"คนสวยน่ะมีอยู่มากมาย ข้ารู้ดี เเต่คนที่สวยกว่านางมัทนายอดรักของข้า คงจักหาไม่ได้ ในเมื่อนางงามทั้งร่างกาย ไม่มีส่วนไหนที่ไม่น่ามอง ขนาดสรวงอกยังตั้งคู่สวยกว่าผู้ใด ยังพูดเพราะน่าฟังอีก คงไม่มีผู้ใดเทียบนางได้" สุเทษพอพูดถึงพี่คนสวยก็ยิ้มออกมาด้วยความสุข


ในขณะนั่นจิตรรถก็เดินเข้ามาในท้องพระโรง ยกมือไหว้เเล้วหมอบลงตรงหน้าสุเทษ สุเทษจึงเปลี่ยนความสนใจไปถามจิตระรถเรื่องงานที่เคยสั่งไป


"ไอ้จิตระรถ งานที่กูสั่งมึงไปทำสำเร็จไหม"


"ขอรับ ข้าเดินทางไปถึงสามโลกเพื่อวาดสวยงานทั้งหลาย ท่านโปรดดูเองเถิด" จิตระรถพูดด้วยรอยยิ้ม พรางให้คนส่งรูปหญิงงานมาให้แล้วยื่นให้สุเทษดู สุเทษหยิบรูปไปดูเเต่ยังเเอบไม่พอใจ เพราะไม่มีผู้ใดที่สวยเท่านางมัทนา


"ที่เจ้าวาดมาก็สวยดีเเต่ไม่มีผู้ใดงามเท่ายอดรักของข้าสักคน เห้อ คงเป็นกรรมของข้าเเล้ว ที่หานางที่งามกว่านางไม่พบ" สุเทษพูดพร้อมทำหน้าเศร้า


"งั้นข้าว่าท่านต้องมีแผน" จิตระรถพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ


"มึงมีแผนอะไรงั้นรึ"


สุเทษเกิดความสนใจกับคำพูดของจิตรรถมาก รีบเด้งตัวขึ้นตั้งใจฟัง


"ตอนที่ข้าเที่ยววาดหญิงงามไปทั่วทุกโลก ข้าได้เจอกับวิทยาธรที่ใช้เวตมนต์เรียกคนจากแดนไกลได้นามว่ามายาวินขอรับ" จิตระรถเงยหน้าตอบ


"จริงหรือว่ะ"


"จริงขอรับ ข้าเห็นมาเองกับตา ถ้าท่านสนใจ ข้าก็พาคนผู้นั้นมาเเล้ว บัดนี้รออยู่ข้างนอก ขอท่านให้ข้าพาเข้ามา"


"พาเข้ามา" สุเทษตอบรับด้วยอารมณ์ดีขึ้นมา


จิตระรถจึงขอตัวลาออกไปเพื่อพาตัวมายาวินเข้ามา


จิตระเสนที่นั่งฟังอยู่ด้วยเกิดสงสัยในเรื่องความสามรถของคนที่จิตระรถพูดถึง จึงเอ่ยถาม


"ข้าสงสัย เรื่องเวทมนต์ข้าว่าก็คงมีจริงที่จะเรียกคนได้ เเต่ถ้าจะบังคับใจให้มารัก ท่านว่าจักทำได้จริงหรือ" จิตระเสนพูดถาม เเฝงด้วยความเป็นห่วง เพราะรู้ดีกว่า เรื่องใจไม่สามารถรั้งใครให้มารักได้


"ที่มึงพูดก็ถูก เเต่ถ้าทำเเล้วได้เห็นหน้านาง ข้าก็อยากลองดู"

ตอนนั้นจิตระรถก็พาตัวมายาวินเข้ามา


"มายาวินขอรับ" จิตรรถเอ่ยเเนะนำให้สุเทษได้ฟัง


"อืม ขอบใจที่มา ข้าได้ยินมาว่าท่านมีเวทมนต์ จักพอช่วยข้าได้หรือไม่"  สุเทษโน้มตัวถาม


"ถ้าให้พูด ข้าเองก็ทำได้หลายอย่าง เช่นการเรียกผู้ใดก็ได้ ไม่เว้นชายหญิง ผู้นั้นจะติดอยู่ในไสยเวทย์ เเลมาปรากฏกายต่อท่านได้ขอรับ ถ้าท่านอยากใหข้าเรียกหาผู้ใด เพียงเเค่บอกขอรับ"


"กูหลงรักหญิงงามอยู่ผู้หนึ่ง นามมัทนา ไม่ว่าคนในโลกไหนก็ไม่อาจเทียบ ตั้งเเว    ต่ถ้ามาอยู่บนสวรรค์ยังไม่เคยพบใครงามเท่านาง เเต่เสียที่นางไม่เคยเหลียวเเลข้าเลย"สุเทศพูดอีกก็เศร้าอีกครา


ตอนนั้นมายาวิทก็ได้หลับตาเเล้ว เห็นอดีตของทั้งสอง


"ข้าเข้าใจเเล้วว่าทำไมนางมิเเลท่าน เพราะกรรมในอดีตที่ทำร่วมกันมาขอรับ"


"เป็นเช่นไรว่ะ ท่านจงรีบเล่า"


"ตอนที่ท่านเป็นมนุษย์ ท่านได้เป็นราชาของเมืองใหญ่ ได้ไปชอบพอนางมัทนาที่เป็นธิดาของเมืองอื่น เเต่พ่อของนางไม่ยอมยกนางให้ท่าน ท่านโกรธจึงยกทัพไปประชิดเมือง เมื่อเมืองนั้นสู้ไม่ได้ ท่านจึงให้ข้อเสนอว่า ถ้ายกนางมัทนาให้จะไว้ชีวิตพ่อของนาง นางจึงยอมตกลง เเต่เมื่อท่านพานางเข้ามาเป็นมเหสี นางกลับไม่สามารถรักท่านได้ เพราะนางคิดว่าท่านเป็นศัตรู ในตอนนั้นพ่อนางปลอดภียดีเเล้วนางจึงฆ่าตัวตายต่อหน้าท่าน ตัวท่านเองก็เสียใจมากจึงบำเพ็ญเพียรจนสามารถกลับมาจุติเป็นสุเทษณะเทพบุตร เพราะเหตุนี้รักของท่านจึงพบเจอเเต่อุปสรรค"


มายาวินเล่าถึงที่มาทั้งหมด สุเทษที่ได้ฟังก็ทำหน้าเศร้า สำนึกถึงความผิดที่เคยทำ


"ขอบใจที่เล่าให้ข้าฟัง งั้นครั้งนี้ข้าจักยอมเสี่ยงดูอีกสักครั้ง เพื่อจะได้สมหวังบ้าง"


"งั้นข้าขอให้คนเตรียมเครื่องพิธีได้หรือไม่" มายาวินเอ่ยขอ จิตระรถจึงตะโกนเรียกในคนนำเครื่องพิธี ทั้งบายศรี เครื่องเส้นไหว้เเละเทียนเพื่อจุดทพพิธี


มายาวินนั่งบนที่นั่งเเล้วเริ่มร่ายคาถา(มั่วเลยเพื่อนรัก) ทุกคนเองก็มองด้วยความลุ้น เเละในท้ายที่ก็ปรากฏกายของนางมัทนาค่อยๆเดินออกมา


เเต่นางเดินออกมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง คล้ายคนหลับไม่ตื่น เนื่องด้วยกำลังต้องมนต์อยู่ เมื่อสุเทษเห็นนางก็รีบลงจากทั้งไปรับนาง เเต่นางกลับไม่เเสดงอารมณ์ใดๆ สุเทษจึงเกิดสงสัย จึงหันไปพูดกับมายาวิน


"ทำไมนางไม่พูด"

"เพราะนางกำลังต้องมนต์อยู่ขอรับ ข้าจักคลายให้บัดนี้" มายาวินท่องคาถาก่อนจักเป่าไปที่หน้าผากของนาง พร้อมกระซิบว่าหากสุเทษถามอันใดก็ให้เอยตอบออกไป


 นางตอบรับด้วยการพยักหน้าเล็กน้อย มายาวินจึงเดินออกไปให้ทั้งสองได้คุยกัน


"อะเเห่ม น้องมัทนาคนงานยอดรักของพี่ ตัวพี่นี้รักน้องมาตั้งนานเเล้วหนา ไม่เคยมีวันใดที่ไม่นึกถึงเจ้า หวังว่าเจ้าเองก็คงชอบพอพี่เช่นเดียวกัน" สุเทษพูดด้วยเสียงที่อ่อนลง พรางจ้องไปที่หน้าไร้อารมร์ของนางมัทนา


"ถึงข้าไม่ได้รัก ก็ขัดท่านไม่ได้"


"จริงรึ"      "จริงตามที่ข้าพูดนั้นเเหละ"

  

"กระไรกัน เจ้ารักหรือไม่รักพี่กันเเน่เล่า"


"จะรักหรือไม่ สำคัญรึ"


"เเต่พี่รักเจ้าจริงหน่า จะไม่ทิ้งเจ้าเเน่"


"ตอนนี้ยังรัก ท่านจะทิ้งข้ารึ"


"ความรักของเรามีอุปสรรคเพราะไม่ได้ใก้ลชิดเจ้า"


"ความรักจัดไม่มีอุปสรรคเพราะได้ใก้ลชิดข้ารึ"


 "อะไรกัน!มัทนาทำไมถึงไม่ตอบพี่เล่า"


"อะไรกัน ข้าก็เอ่ยตอบอยู่!"


"เสียเเรงที่พี่ไปรักเจ้า ทั้งทีเจ้าไม่เคยจักเเล"


"ข้าไม่ชอบพอท่าน พูดไปก็เสียแรงเปล่า"


สุเทษจ้องไปหน้านาง เเต่ยังไม่เห็นว่านางมีอารมณ์ร่วมจึงถามอีกครั้ง


" เเล้วถ้าพี่กอดจูบเจ้า จักว่ากระไร"


"ยังไงข้าก็ฝืนท่านไม่ได้ ถึงข้าไม่อยากท่านก็ทำอยู่ดี"


สุเทษไม่พอใจในคำตอบของนางจึง หันไปพูดกับมายาวิน


"ทำไมนางเป็นเเบบนี้"


"เพราะนางยังโดนมนต์อยู่ขอรับ หากจักให้ข้าคล้ายหมด เกรงว่าจักดื้อไม่ยอมฟังท่าน เเต่ถ้าท่าขอเเค่ได้เห็นหน้านาง ข้าจะเสกอีกหนให้นางไม่เป็นเช่นนี้"
สุเทษทำให้หน้าเคร่งเครียด เเต่ก็ยอมเอ่ยออกไป


"ข้าไม่เอาเเบบนั้น ข้ารักนางก็อยากให้นางรักข้าด้วยใจจริงเช่นเดียวกัน จักให้ข้ารักไปคนเดียวข้าไม่ชอบ  งั้นเจ้าก็คลายมนต์เสียเถิด ข้าจักลองพูดกับนางเอง เพื่อคล้าวนนี้นางจัดยอมรับรักข้า"


ครั้นมายาวินร่ายมนต์เพื่อคลายคาถาในตัวนางมัทนา นางก็ค่อยๆรู้สึกตัว ทำท่าเหมือนึนพึ่งตื่น


ครั้นหันไปเห็นสุเทษก็ตกใจกลัว เเล้วจักรับวิ่งหนีไป เเต่สุเทษคว้าเเขนนางเอาไว้ได้ทัน
"พึ่งตื่นเจ้าจักรีบไปไหนเล่า"


"ข้าอยู่ที่ไหน มาได้ย่างไรกัน ข้าไม่รู้ตัวเลย ท่านจงเมตตาข้าเถิด"


"โถ่ แม่ยอดรักของพี่ พี่เองที่ให้คนพาตัวเจ้ามา" สุเทษยิ้ม ให้กับใบหน้างงงันของนางมัทนา


"ทำไมท่านถึงทำเช่นนี้เล่า ต่อหน้าเทวนานางฟ้าคนอื่นๆ ข้าเสียหน้านะ"


มัทนาที่รู้ความจริงก็นั่งร้องไห้ด้วยความเสียใจ สุเทษที่เห็นคนที่รักร้องไห้จึงนั่งลงปลอบ


"ยอดดวงใจของพี่อย่าร้องลยหน่า ใบหน้าของเจ้าไม่เหมากับน้ำตาหรอก พี่รักเจ้าจริงๆ  ตอบคำรักเถิดหนา พี่จักไม่มีวันทอดทิ้งเจ้าไป เจ้างามขนาดนี้ หากพี่ไม่ได้ครอบครองคงเหมือนสิ้นใจ ตัวพี่นี้มีทุอย่างเเต่อยากได้เเค่เจ้า ได้ไหมมัทนา ตอบรับพี่สักครั้งเถอะนะ"


สุเทาเว้าวอนพูดน้ำเสียงอ่อนลงมาก



"ไม่ว่าท่านจักพูดอย่างไง ข้าก็โกหกไม่ได้ว่ารักท่าน" มัทนาตอบเสียงเย็นชา


"หรือที่เจ้าไม่รับรักพี่ เพระเจ้ามีคู่อยู่เเล้วรึ"


"ไม่มีเจ้าคะ"


"เเล้วที่เจ้าไม่รับรักพี่ เพราะเหตุใดกัน พี่มันไม่ดียังไง"


"ไม่หรอกเจ้าค่ะ ข้าผิดเองที่รับรักท่านไม่ได้"


"ยิ่งฟังพี่กวนใจพี่นัก!ยิ่งเห็นหน้าเจ้าเเบบนี้พี่เองก็เเทบคลั่ง" สุเทษพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้นเมื่อเริ่มรู้สึกเสียหน้า มัทนาเมื่อเห็นสุเทษเป็นเช่นนั้นก็ เริ่มกลัว


"ถึงจักโกรธข้าอย่างไรข้าก็ไม่อาจรักท่านได้หรอก ถึงข้าจะอยาก เเต่ข้าก็โกหกใจตัวเองไม่ได้ ถ้างั้นข้าขอลา"


 มัทนาพูดจบก็จะกราบเเล้วลาไป เเต่สุเทษคว้ามือเอาไว้ได้อีกครั้ง เเต่คล้าวนี้ดึงด้วยเเรงที่มากขึ้นเพราะความโกรธที่ถูกนางปฏิเสธ


"จะไปไหน " สุเทษถามนางเสียงเเข็ง


" ก็ท่านว่ารำคาญ เเล้วข้าจะอยู่ทำไม" มัทนาตอบเสียงสั่น พเพราะรูตัวว่าโดนโกรธเข้าเเล้ว


"พี่ไม่ได้รำคาญ"


"เเต่ข้ามองออก"


"อย่ามาพูดเเบบนี้นะมัทนา พี่ดูโง่ในสายตาเจ้ารึ" สุเทษมองนางด้วยสายตาเศร้าเเต่ก็ยังโกรธอยู่


"ข้าเคารพเท่านต่างหาก ท่านเป็นถึงเทวดายศสูง มีนางฟ้านางสวรรค์อยู่รอบตัวไปหมด อย่างท่านจักรักข้าไปสักอีกกี่วันกัน  ข้าถือว่าหากข้าไม่รัก ไม่ว่าชายใดก็จักไม่ยอมตกเป็นเมีย....ถ้าไม่มีอะไรเเล้วข้าขอลา"  


มัทนาเตรียมตัวเดินหนีอีกครั้ง เเต่ครั้งนี้สุเทษอารมณ์เสียจัด เลยตวาดออกมาลั่น



"นี่!! เจ้านี่มันอย่างไรกัน ที่ข้าถามไม่เคยจะตอบเอาเเต่พูดย้อนข้า พูดให้ข้าตายใจ ได้ ถ้าไม่รักข้า เจ้าก็ลงไปอยู่ที่เเดนมนุษย์!! เลือกเอาเถอะว่าจะเกิดเป็นอะไร ข้าจะสาปให้ตามคำขอ จนกว่าเจ้าจะสำนักผิด!!"


สุเทษพูดด้วยอารมณ์โกรธมากกว่าที่เคยเพราะรู้สึกโดนหยามจากคำพูดของนางมัทนา


"ข้าคงไม่มีโชคถึงได้โดนลงโทษโดยที่ข้ามิผิด งั้น ข้าขอเกิดเป็นดอกไม้มีกลิ่นหอม เอาไว้ใช้บูชา อย่างน้อยก็ใช้ข้าได้ทำประโยชน์เถอะ" นางพูดปนสอื้น


"ได้ ข้าจะทำให้ตามที่เจ้าบอก ท่านมายาวิน นางอยากเป็นดอกไม้ มีดอกไม้ใดบ้างรึที่กลิ่นหอมเเล้วยังสวยงาม เเต่ตองมีหนามเอาไว้ไม่ให้ใครเอาเเตะต้อง"


 สุเทษหันไปถามมายาวินที่นั่งอยู่ มายาวินจึงเอยตอบว่า


"ดอกกุหลาบขอรับ ทั้งมีสีเเดงสวยเหมือนเเก้มนาง ดอกใหญ่งาม มีกลิ่นหอม มีหนามที่กิ่งก้านไม่ให้ผู้ใดสัมผัส ทั้งยังมีสรรพคุณทางยา เเละรสชาติดี" มายาวินตอบด้วยท่าทางสุขุม


"ว่าอย่างไร พอใจรึไหม" สุเทษหันไปถามนางมัทนา


"ไหนๆก็จะเกิดเป็นดอกไม้เเล้ว ข้าพอใจที่จะมีหนาม ขอบคุณท่านที่เลือกให้ข้า" มัทนาตอบเสียงเศร้ารู้ดีว่าอีกไม่นานตนต้องกลายเป้นดอกกถหลายในโลกมนุษย์


สุเทษที่ก็ยังรักเเต่ก็โกรธอยู่มาก จึงเอ่ยปากสาปนางเป็นครั้งสุดท้าย


"ด้วยอำนาจของกู กูขอสาปนางมัทนาให้ไปเกิกในเป็นดอกกุหลาบในโลกมนุษ์ เป็นเเบบนั้นจนกว่าจะรู้สึกผิด ในวันที่พระจันทร์เต็มดวงจึงสามารถกลับไปเป็นมนุษย์ได้หนึ่งคืน เเต่ถ้าหากนางมีความรัก ก็ให้เป็นมนุษย์ต่อไปได้ เเต่ถ้ามีรักเเล้วไม่มีความสุข จนไม่อยากทนต่อ ก็ให้นางมาขออ้อนวอข้า เมื่อนั้นข้าจักเลิกลงโทษเจ้า......ไปเถิดมัทนา ไปเกิดใหม่เป็นกุหลายตามคำของข้าเสีย!!!!!!"



หลังสิ้นเสียงสุเทษก็เกิดฟ้าผ่าลั่น นางมัทนาร้องกรี๊ด เเล้วล้มลง กลายเป็นดอกกุหลาบลงไปจุติลงที่โลกมนุษย์


                                  จบ        


                                  ประพันธ์ : ชอร์ลาเรส




จบเเล้วโว้ยยยยยยย😭😭😭😭😭😭









   


วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2566

เสดสาสสสส



เศรษฐศาสตร์

สรุปเศรษฐศาสตร์


เศรษฐศาสตร์ เป็นวิชาที่ว่าด้วยการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เพื่อให้ประชาชนเกิดความพอใจมากที่สุด

*ทั้งนี้เนื่องจากทรัพยากรธรรมชาติมีจำกัดขณะที่ความต้องการของมนุษย์มีไม่จำกัด*

อดัม สมิธ (Adam Smith) เป็น บิดาเศรษฐศาสตร์ ชาวสกอตแลนด์

อัลเฟรด มาร์แชล (Alfred Marshall) เป็น บิดาเศรษฐศาสตร์จุลภาค ชาวอังกฤษ

จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ (John Maynard Keynes) เป็น บิดาเศรษฐศาสตร์มหภาค ชาวอังกฤษ

ต้นทุนค่าเสียโอกาส คือ มูลค่าของผลตอบแทนจากกิจกรรมที่สูญเสียโอกาสไปในการเลือกทำกิจกรรมอย่างหนึ่ง

ทรัพยากรทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง ปัจจัยการผลิตที่ก่อให้เกิดการผลิตสินค้าและบริการ ได้แก่ ที่ดิน แรงงาน ทุน และผู้ประกอบการ โดยที่

-          ผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดิน  ค่าเช่า
-          แรงงาน ค่าจ้าง 
-          ผู้ที่เป็นเจ้าของทุน  ดอกเบี้ย 
-          ผู้ประกอบการ กำไล

☆เงินไม่ใช่ทุน

ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ มนุษย์มีความต้องการไม่จำกัด ทุกประเทศมีปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เหมือนกันคือ ประเทศจะจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดนั้น

-          จะผลิตอะไร (What) : ควรผลิตสินค้า-บริการอะไร ในปริมาณเท่าใด

-          จะผลิตอย่างไร (How) : โดยใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

-          จะผลิตเพื่อใคร (For Whom) จะกระจายสินค้าบริการไปให้ใคร

☆*.•°.*☆ °•.°•.°☆°°•°.☆°.°•*.••☆•••°

อุปสงค์ (Demand) หมายถึง ความต้องการซื้อสินค้าหรือบริการ

ราคาสินค้าแพงขึ้น อุปสงค์ลดน้อยลง

ราคาสินค้าถูกลง อุปสงค์ก็เพิ่มมากขึ้น

ปัจจัยที่กำหนดอุปสงค์

-          ราคาของสินค้า 
-          รายได้ของผู้บริโภค จะเลือกสินค้าที่ถูกกว่าเสมอ
-          ราคาสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง แบ่งเป็น 2 ประเภทสินค้าทดแทนกัน สินค้าที่ใช้ประกอบกัน 
-          รสนิยมของผู้บริโภค 
-          การคาดการณ์รายได้ในอนาคต 
-          ปัจจัยอื่นๆ เช่น ฤดูกาล จำนวนประชากร ฯลฯ

กฎของอุปสงค์ 

“ราคาและปริมาณความต้องการซื้อสินค้าจะมีความสัมพันธ์กันในทิศตรงกันข้าม”

อุปทาน (Supply) ปริมาณความต้องการเสนอขายสินค้า

แพงขึ้น อุปทานมากขึ้น 

ถูกลง อุปทานลดลง

ปัจจัยที่กำหนดอุปทาน

-          ราคาของสินค้า 
-          ราคาของปัจจัยการผลิตหรือต้นทุนการ
-          ราคาสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
-          เทคโนโลยีในการผลิตสินค้า 
-          การคาดการณ์ในอนาคต 
-          ปัจจัยอื่น เช่น ฤดูกาล ภาษีและเงินอุดหนุน จำนวนผู้ขาย และโครงสร้างตลาดสินค้า

กฎของอุปทาน 

“ปริมาณความต้องการขายสินค้าและราคาสินค้ามีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกัน”

ภาวะดุลยภาพ (Equilibrium) หมายถึง ระดับราคาที่ผู้ซื้อและผู้ขายเห็นพ้องต้องกัน [akaมีการซื้อขาย]

☆ระดับราคาที่อุปสงค์เท่ากับอุปทาน หรือเส้นอุปสงค์ตัดกับเส้นอุปทาน

          จุดที่ราคาสูงกว่าราคาดุลยภาพจะเกิดอุปทานส่วนเกิน 
          ส่วนจุดที่ราคาต่ำกว่าราคาดุลยภาพจะเกิดอุปสงค์ส่วนเกิน 

นโยบายการกำหนดราคาขั้นต่ำ (Minimum Price Policy)

ช่วยผู้ผลิตให้สามารถขายสินค้าได้สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตร และตลาดปัจจัยการผลิตเช่น ตลาดแรงงาน  หากปล่อยให้กลไกตลาดทำงานโดยเสรีแล้ว จะมีผลให้ราคาดุลยภาพอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในสังคม รัฐบาลจึงต้องเข้ามาแทรกแซงกลไกตลาดโดยการกำหนดราคาขั้นต่ำ

*กล่าวคือ เป็นการทำให้ราคาของที่มีราคาต่ำเป็นของที่มีราคาสูงขึ้น*

นโยบายการกำหนดราคาขั้นสูง (Maximum Price Policy)

นโยบายกำหนดราคาขั้นสูงมักใช้ในกรณีของสินค้าที่ผู้บริโภคทุกระดับรายได้จำเป็นต้องซื้อ เช่น นมผงสำหรับทารก น้ำตาลทราย น้ามันเบนซิน ฯลฯ เป็นต้น

*กล่าวคือ เป็นการทำให้ราคาของที่มีราคาสูงเป็นของที่มีราคาต่ำลง*



ตลาด (Market) เป็นสถานที่ซึ่งผู้ซื้อและผู้ขายมาติดต่อซื้อขายสินค้าและบริการกัน

ตลาดในทางเศรษฐศาสตร์

-          ไม่ต้องมีสถานที่เพื่อมาตกลงซื้อขายกัน
-          ไม่ต้องมีการพบกัน เช่น ตลาดซื้อขายล่วงหน้า ตลาดหลักทรัพย์

การบริการส่งถึงที่ (Delivery) และ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce)

ประเภทของตลาด แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

          
ตลาดแข่งขันสมบูรณ์

-          มีจำนวนผู้ซื้อและผู้ขายในตลาดจำนวนมาก

-          สินค้าที่ขายในตลาดมีลักษณะเหมือนกันทุกประการ หลากหลาย
-          ผู้ผลิตหรือผู้ขายสามารถเข้าออกจากตลาดได้อย่างเสรี โดยมีกำไรเป็นแรงจูงใจ

-        ควบคุมราคาไม่ได้

“ในทางเศรษฐศาสตร์ถือว่าตลาดแข่งขันสมบูรณ์เป็นตลาดในอุดมคติ”


ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์แบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ

ตลาดผูกขาด หมายถึง ตลาดที่มีผู้ผลิตหรือผู้ขายเพียงรายเดียว เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การประปานครหลวง

ตลาดผู้ขายน้อยร้าย มีผู้ขายหรือผู้ผลิตจำนวนน้อย ต้องสนใจแนวทางการดำเนินงานของคู่แข่งด้วย
ตัวอย่าง น้ำมัน : ปตท เอสโซ่ บางจาก

          โทรศัพท์มือถือ : ไอโฟน ซัมซุง แบล็คเบอรี่

          รถยนต์ : ฮอนด้า โตโยต้า อิซูซุ

          ซีเมนต์ : ซีแพค ทีพีไอ

ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด มีผู้ขายหรือผู้ผลิตในตลาดเป็นจำนวนมาก ผู้ผลิตแต่ละรายได้ส่วนแบ่งตลาดน้อย ไมามีอิทธิพลต่อการกำหนดราคา สินค้ามีลักษณะแตกต่างกัน

ตัวอย่าง สบู่ : ลักซ์ นกแก้ว อิมพีเรียล

          ยาสีฟัน : คอลเกต ดาร์ลี่ กลิสเตอร์

          ชาเขียว : อิชิตัน โออิชิ

          ลูกอม : ฮอน คูก้า มายมิ้นท์

          น้ำปลา : ทิพรส ตราปลาหมึก

หน้าที่ของตลาดในเชิงเศรษฐศาสตร์

-          จัดหาสินค้า (Assembling)
-          เก็บรักษาสินค้า (Storage)
-          ขายสินค้า (Selling)
-          กำหนดมาตรฐานของสินค้า (Standardization)
-          การเงิน (Financing
-          การเสี่ยงภัย (Risk)
-          การขนส่ง (Transportation)

การผลิตกับการสร้างอรรถประโยชน์

คำว่า อรรถประโยชน์ (utility) หมายถึงความพอใจที่ผู้บริโภคได้รับจากการบริโภคสินค้าหรือ
บริการชนิดใดชนิดหนึ่ง ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง
โดยทั่วไปการผลิตหรือการสร้างอรรถประโยชน์แบ่งออกเป็น 5 ประเภทดังนี้

1. การสร้างอรรถประโยชน์จากการแปรรูป (form utility) เป็นการสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือความพอใจอันเนื่องจากการแปรรูปของปัจจัย
การผลิตหรือวัตถุดิบเพื่อให้เกิดเป็นสินค้า
จากแป้งสาลีเป็นขนมประเภทต่างๆ
จากเม็ดพลาสติกเป็นอุปกรณ์พลาสติก
จากเหล็กและไม้เป็นเฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ

2. การสร้างอรรถประโยชน์ทางด้านสถานที่ (place utility) เป็นการสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือความพอใจอันเนื่องจากการเคลื่อนย้ายสินค้า
ได้แก่ การขนส่งสินค้าจากผู้ผลิตมายังร้านค้าส่ง จากร้านค้าส่งมายัง
ร้านค้าปลีก และจากร้านค้าปลีกมายังผู้บริโภค

3. การสร้างอรรถประโยชน์ทางด้านเวลา (time utility) แปรรูปปัจจัยการผลิตหรือ สินค้าและบริการให้มีอายุการใช้งานนานขึ้น  เช่น การถนอมอาหาร

4. การสร้างอรรถประโยชน์ทางด้านกรรมสิทธิ์ (possession utility)
ยินยอมซึ่งกันและกัน เช่น การเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์หรือตราสารทางการเงินประเภทต่างๆ ที่ดิน บ้าน ที่อยู่อาศัย รถยนต์ ฯลฯ

5. การสร้างอรรถประโยชน์ทางด้านบริการ (service utility) เป็นการสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือความพอใจอันเนื่องจากการให้บริการ
โดยตรงแก่ผู้บริโภค ซึ่งได้แก่ การให้บริการทางการแพทย์ การศึกษา การขนส่ง
การธนาคาร การประกันภัย ฯลฯ

ระบบเศรษฐกิจ

ระบบเศรษฐกิจ             หมายถึง การรวมตัวกันเป็นกลุ่มของหน่วยเศรษฐกิจ  เพื่อแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจและพัฒนาระบบเศรษฐกิจให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น  จะเลือกวิธีใดขึ้นอยู่กับระบบเศรษฐกิจของสังคมนั้น โดยทั่วไปนิยมแบ่งระบบเศรษฐกิจออกเป็น 4 ระบบ ดังนี้

1.ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ (Communism) ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์เป็นระบบเศรษฐกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของทรัพยากรต่างๆ รวมทั้งปัจจัยการผลิตทุกชนิด  รัฐบาลเป็นผู้ประกอบการและทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากรต่างๆ หน่วยธุรกิจและครัวเรือน จะผลิตและบริโภคตามคำสั่งของรัฐ กลไกราคาไม่มีบทบาทในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ จะมีลักษณะเด่นอยู่ที่การรวมอำนาจทุกอย่างไว้ที่ส่วนกลาง
 ข้อดี
 จุดเด่นของระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ก็คือ เป็นระบบเศรษฐกิจที่ช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำประชาชนแต่ละคนเเท่าเทียมกัน
 ข้อเสีย
 ประชาชนไม่มีเสรีภาพที่จะผลิตหรือบริโภค

2.ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เป็นระบบเศรษฐกิจที่เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปเลือกตัดสินใจดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามความสามารถและโอกาสของตนโดยอาศัยตลาดและราคาในการเลือก โดยรัฐหรือเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางมีบทบาทเกี่ยวข้องน้อยมาก
ลักษณะสำคัญของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ได้แก่
- ทรัพย์สินและปัจจัยการผลิตเป็นของเอกชน 
- เอกชนเป็นผู้ดำเนินการกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยผ่านกลไกราคา และมีกำไรเป็นแรงจูงใจ            - มีการแข่งขันเป็นรากฐานของระบบเศรษฐกิจ
- รัฐไม่เข้าแทรกแซงทางเศรษฐกิจ มีบทบาทเพียงการรักษาความสงบเรียบร้อย ความยุติธรรม 
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม              คือ ประชาชนสามารถใช้ความรู้ความสามารถ โอกาส ความคิดริเริ่ม ของตนในการผลิตและบริโภคเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตนได้อย่างเต็มที่
ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม คือ จากความสามารถและโอกาสของบุคคลที่แตกต่างกัน ทำให้มีระดับรายได้แตกต่างกัน นำไปสู่ปัญหาการกระจายรายได้ระหว่างคนรวยกับคนจน ส่วนการผลิตในระบบทุนนิยมเป็นที่มาของการแข่งขันกันผลิต นำไปสู่การทำลายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติจนกลายเป็นปัญหาของโลกในปัจจุบัน
ประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อังกฤษ สิงคโปร์

ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม เป็นระบบเศรษฐกิจที่รัฐเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต วางแผนและควบคุมการผลิตบางประเภท โดยเฉพาะการผลิตที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันของประชาชน เช่น การสาธารณูปโภค  เอกชนถูกจำกัดเสรีภาพในกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะส่วนที่เป็นผลประโยชน์ของส่วนรวม

- รัฐคุมการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจทุกรูปแบบ
- ไม่มีการแข่งขันเกิดขึ้น   
  -รัฐสั่งการผลิตคนเดียว
- มีการวางแผนจากส่วนกลาง
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม คือ สร้างความเสมอภาคด้านฐานะทางเศรษฐกิจของบุคคลในสังคม ประชาชนได้รับสวัสดิการจากรัฐบาลกลางโดยเท่าเทียมกันและสามารถกำหนดนโยบายเป้าหมายตามที่รัฐบาลกลางต้องการได้
ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม  คือ ประชาชนขาดแรงจูงใจในการทำงาน เศรษฐกิจของประเทศอาจเผชิญวิกฤติหากรัฐกำหนดความต้องการผิดพลาดและการไม่มีระบบแข่งขันแบบทุนนิยมทำให้ไม่มีการพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ
ประเทศที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม เช่น เกาหลี ลาว เวียดนาม

4. ระบบเศรษฐกิจแบบผสม
ระบบเศรษฐกิจแบบผสม เป็นระบบเศรษฐกิจที่ผสมระหว่างระบบทุนนิยมกับสังคมนิยม มีรัฐเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตหรือควบคุมการผลิตขนาดใหญ่ แต่ปัจจัยการผลิตส่วนใหญ่เป็นของเอกชน การกำหนดราคาขึ้นกับกลไกแห่งราคาของตลาด 
ลักษณะสำคัญของระบบเศรษฐกิจแบบผสม ได้แก่
- เอกชนมีเสรีภาพ
- มีการแข่งขัน แต่รัฐอาจแทรกแซง การผลิตได้บ้าง
- รัฐดำเนินกิจการบางอย่างในรูปของรัฐวิสาหกิจ เช่น สาธารณูปโภค ( ไฟฟ้า ประปา )
- มีการวางแผนจากส่วนกลางและมีสวัสดิการจากรัฐ
ประเทศที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบผสม เช่น ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน กัมพูชา พม่า เป็นต้น

ภาคเศรษฐกิจ
ภาคครัวเรือน
ภาคธุรกิจ
ภาครัฐบาล

ขั้นตอน - ขั้นของการผลิต

ปฐมภูมิ -การสร้างวัตถุดิบ เช่น ประมง ปลูกพืช
ทุติยภูมิ -การแปรรูป
ตติยภูมิ -การบริการ

แรงงาน
อุปทานเเรงงานส่วนเกิน = เกิดการว่างงาน
อุปสงค์เเรงงานส่วนเกิน = ขาดเเคลนเเรงงาน

 
เศรษฐศาสตร์มหภาค  -ระดับประเทศ
      เป็นการศึกษาถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนรวม เช่น การ บริโภครวม การลงทุนรวม รายได้ประชาชาติ ระดับราคาสินค้าโดยทั่วไป ค่าใช้จ่ายของรัฐบาล อัตราการจ้างงานของประเทศ การเงินการธนาคาร การพัฒนาประเทศ ตลอดจนการค้าระหว่าง ประเทศ
เศรษฐศาสตร์จุลภาค -ระดับบุคคล
สาขาของเศรษฐศาสตร์ซึ่งศึกษาการตัดสินใจในระดับบุคคลหรือองค์กรธุรกิจ  เช่น ผลิตภัณฑ์มวลรวม อัตราเงินเฟ้อ อัตราการว่างงาน

สหกรณ์
องค์กรบุคลที่รวมตัวกันอย่างสมัคใจ โดนมีจุดมุ่งหมทนเพื่อดำเนินงานอย่างเดียวกัน เเบ่งปั่นผลประโยชน์กันตามหลักประชาธิปไตยมีด้วยกัน2ชนิด

•สหกรณ์ในภาคการเกษตร
-สหกรณ์นิคม จัดสรรที่ดินทำกิน
•สหกรนอกภาคการเกษตร
-สหกรณ์ร้านค้า ออมทรัพย์บริการ


บิดาสหกร โรเบิด ฮูเวิอร์ 

ของไทย กรมหมื่นฯ.สักอย่าง



สู้ๆครับเพื่อนๆไม่มีอะไรที่เราทำได้





วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2566

Bad habit

 At the middle school


This school is very famous about volleyball and they have the beat player names Oiikawa


Coach : Good job! Oiikawa


Oiikawa: Thanks  you I would win in the next race.


Coach : Great! But today we have a new player come in our team. This is kageyama


Kageyama : Hi nice to meet you


Oiikawa: nice to meet you too.


They practic together but Kageyama play better than Oiikawa  and in the next race Kageyama makes the team win


Coach : Good job kageyama. Today you are the best!


Oiikawa: Huh, I think, it's not much


Kageyama: ah....


Oiikawa: A genius like you wouldn't need anomal person like me to teach anymore!!


Kageyama: Mr.Oiikawa


Oiikawa: Don't talk to me!!


And then they don't talk together anymore until Oiikawa graduated.




2 Years leter


Kageyama is graduated too and he attended a new hight school and he has a new volleyball team


Hinata : Hi, I am Hinata. Nice to meet you


Kageyama: I'm kageyama


Hinata: kageyama?? The king of court?!!


Kageyama : Don't call me like that!!


Hinata : Oh sorry, why are you angry?


Kagayama : I would win by myself, you don't have to be friendly to me


Hinata : ah... He is a bad guy😔✌️




Until the next race comes, kageyama can't play because his team didn't follow the thing that he said and the last his team areare lost


Kageyama: Mr.Oiikawa


Oiikawa: How are you loser? Hahaha


Kageyama: why are you do this to me? i just want you to teach me as before


Oiikawa: I'm busy, I look after nephew and wii pick up my girlfriend


Takeru : you said you just broken


Oiikawa: So? Please me kageyama ,respect and speak nicely to me


Kageyama: please teach me how to play.



Oiikawa : Oh... But should I? Make you better than me? No way kid






วันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

Bad habits

 ณ โรงเรียนมัธยมต้นแห่งหนึ่ง


โรงเรียนที่มีชื่อเสียงด้านวอลเลย์บอล


เหล่านักกีฬาของโรงเรียนล้วนมากความสามารถทำให้คว้าชัยชนะมาได้หลายครั้ง แล้วตอนนี้มีคนที่เก่งสุดๆอยู่ชื่อว่าโออิคาวะ


โค้ช: ทำได้ดีมาก โออิคาวะ ซ้อมครั้งนี้ก็ยังทำได้ดีเหมือเดิมเลยนะ

โอย: ขอบคุณครับโค้ช การเเข่งครั้งถัดไปผมต้องชนะให้ได้


โค้ช: พยายามเข้าล่ะ แต่ว่านะวันนี้เรามีสมาชิกใหม่เข้ามาด้วย นี่คาเงยามะ รุ่นน้องคนใหม่ของนาย

คาเง:สวัสดีครับโออิคาวะซัง ยินดีที่ได้รู้จัก

โอย: ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกัน เด็กน้อย



ทั้งคู่เป็นคู่ฝึกซ้อมกันจนวันหนึ่งที่คาเงยามะทำได้ดีจนได้รับคำชมจากโค้ชและเป็นคนที่ทำให้ชนะได้ในการเเข่งครั้งนั้น


โค้ช: ดีมากคาเงยามะ เพราะนายเลยทีมถึงได้ชนะ

คาเง: ขอบคุณครับโค้ช

โอย: ก็ไม่เท่าไหร่นิ

คาเงะ: อา...

โอย:อัจฉริยะอย่างนายคงไม่ต้องการให้คนอย่างฉันมาสอนใช่ไหมล่ะคราวหลังก็อย่ามาขอร้องให้ฉันสอนนายอีกแล้วกัน

คาเง : รุ่น...พี่...

โอย:ไม่ต้องมาคุยกับฉันอีก


หลังจากนั้น 2 ปี คาเงยามะก็ได้จบม. ต้นและย้ายโรงเรียนไปเรียนต่อที่โรงเรียนคาสิโนะและได้มีเพื่อนร่วมทีมคนใหม่ที่แต่ละคนมีความสามารถที่แตกต่างกันไป


โช:สวัสดีฉันฮินาตะยินดีที่ได้รู้จัก

คาเง:ฉันคาเงยามะ

โช: คาเงยามะ!? ราชาเเห่งสนามคนนั้นหรอ 

คาเง:อย่ามาเรียกฉันด้วยชื่อนั้น!!

โช;ใจเย็นสิพวก เราต้องอยู่ด้วยกันอีกนานนะ

คาเง:ถ้ารู้แบบนั้นก็ดีอย่าเป็นตัวถ่วงแล้วกันเพราะฉันจะชนะให้ได้

โช:ทำไมต้องโมโหขนาดนั้นด้วยเล่า.....เจ้าคนนิสัยไม่ดีคาเงยามะ



ในที่สุดการแข่งขันรอบคัดเลือกก็มาถึง แต่วันจริงคาเงทำไม่ได้ดีจนทำให้เเพ้ในการเเข่งครั้งนี้ เขาเจ็บใจที่ดันพ่ายเเพ้กับคนที่ต้องการเอาชนะ


โทบ : โออิคาวะซัง

โอย :ไงล่ะราชาแห่งสนาม แพ้เเล้วรู้สึกยังไง

คาเง : ผมไม่เข้าใจว่ารุ่นพี่ทำอย่างนี้ทำไมผมแค่อยากให้รุ่นพี่สอนผม 

โอย:คือว่านะฉันไม่ว่างหรอก ฉันต้องดูเเลหลาน เเล้วก็ต้องไปรับเเฟนอีก

ทาเครุ: เเต่เมื่อกี้นายบอกว่าพึ่งโดนบอกเลิกมานิ

โอย: นี้คาเครุ!

ทาเครุ: นายมันนิสัยไม่ดีเลยโทรุ

คาเง: ช่วยสอนผม....ทีเถอะครับ

โอย: เเล้วยังไง ขอร้องฉันสิโทบิโอะ โค้งให้ฉันเเล้วพูดเพราะๆ

คาเง: ช่วยสอนให้ผมทีเถอะครับ

โอย:*ถ่ายรูป* ดูสิๆราชาเเห่งสนามคนเก่งมาโค้งให้ฉันด้วยละ*ขำ*


โอย: เเต่ฉันจะสอนให้นายเก่งกว่าฉันไปทำไมละ เสียเวลาเปล่า


และโออิคาวะก็ไม่ได้สอนอะไรให้คาเงต่อและทั้งคู่ก็ไม่ได้คุยกันอีกเลยนับเเต่นั้น




ตัวละคร 

คาเง

โอย

โช

โค้ช

ทาเครุ

ผู้บรรยาย

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

นิทานเวตาล(โสกังgang ver.))





ณ เมือง เทมปุระ

มีเเม่ค้าสาวนางหนึ่งกำลังเปิดโชว์รูมขายรถ เป็นรถรุ่นใหม่ เเบบดุดันไม่เกรงใจใคร อย่างฟอร์ด เรนเจอร์ เเร็พเตอร์

เเม่ค้า : เอาไหมจ้าา เอารถไหมม ดุดันไม่เกรงใจใคร ฟอร์ดเรนเจอร์!! เเร้พเตอร์!!

ขณะนั้นเองก็มี ท้าวมหาพลเจ้าเมืองเทมปุระที่เข้ามาเลือกซื้อสินค้าจนไปเจอกับร้านของเเม่ค้านางนั้นเข้า จึงได้เอยถามขึ้นว่า

ท้าวมหาพล: รถรุ่นนี้ออโต้บอทหรือดีเซ็ปติคอนรึ ข้าอยากได้บับเบิ้ลบี เจ้ามีไหม?
เเม่ค้า: อะไรกัน ข้าไม่มีหรอก! มีเเค่ฟอร์ดล่ะ ท่านจะเอาไหม
ท้าวมหาพล:ข้าอยากได้บับเบิ้ลบี้
เเม่ค้า:ข้าไม่มี!!
ท้าวมหาพล:งั้นข้าไม่เอา

พอได้ยินเช่นนั้นเเม่ค้าจึงโกรธจัด เเล้วเกิดความเครียดเเค้น พร้อมเผยร่างจริงว่านางนั้นไม่ใช่เพียงเเม่ค้าธรรมดา เเลยังยกกองทัพ พลศึกนับร้อยเข้าบุกโจมตีเมืองเทมปุระ

ท้าวมหาพลเห็นท่าไม่ดี เกรงว่าตัวเองอาจจะสิ้นชีวิตในการทำศึกครั้งนี้ จึงได้พาพระมเหสีเเละพระราชธิดาทั้งสองติดสอยหนีตามกันเข้าไปในป่า เพื่อจะเดินต่อไปให้ถึงเมืองบ้านเกิดของผู้เป็นพระมเหสี

เเต่ในระหว่างทางนั้นพบเจอกับโจรป่า!! ท้าวมหาพลที่คิดว่าตนสู้ไหวจึงเข้าต่อสู้ เเต่ฝั่งโจรกลับมีมาก พระองค์จึงควักปืนที่พกติดตัวออกมาพร้อมพูดว่า

ท้าวมหาพล : อ่อนหัด!! เเกคิดว่าฉันมีเเค่นี้หรอ!!


พร้อมลั่นไกลปืนออกไปสองนัด นัดเเรกพุ่งเข้าตรงไปที่หัวหน้าของกลุ่มโจร ที่ทำการหยุดกระสุนให้ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศได้ทัน สองอีกนัดนั้นพุ่งไปโดนเข้ากับเจ้าหมาประจำกลุ่มจนมันดิ้นเเล้วสิ้นใจตรงนั้น

หัวหน้ากลุ่มโจรเห็นเเล้วก็ยิ่งเจ็บใจที่ของรักของสำคัญของกลุ่มต้องมาสิ้นใจเพราะชายคนนี้ 

หัวหน้าโจร : หึ้ย! เเกนะเเก...!

จากที่เพียงจะเเค่ปล้นเอาทรัพย์ กลับเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดเล่าใจ ท้าวมหาพลที่เสียเเรงจากการต่อสู้เเละการหลบหนีจึงได้พลาดท่า ล้มลงเเละโดนฆ่าตายในที่สุด 

ทั้งมเหสีเเละพระธิดาจึงพากันเดินหนีออกมา เเต่ก็ยังทิ้งลอยเท้าเอาไว้ เป็นทางยาวไปทั่วป่า

คล้าวนั้นเอง ท้าวจันทรเสนเเละพระโอรสกำลังออกเดินสำรวจป่าเพื่อล่าสัตว์เเต่ทั้งสองพระองค์ดันไปเห็นรอยเท้าสองคู่ที่ลากเป็นทางยาว เเลเห็นว่ารอยเท้าทั้งสองมีขนาดต่างกัน จึงได้เกิดความคิดบ้างอย่าง พระโอรสจึงได้พูดขึ้นว่า

พระโอรส: คงเป็นผู้หญิงสวย หากเป็นชายคงไม่เท้าเล็กเพียงนี้ ข้าว่ารอยเท้าขนาดเล็กนี้คนเป็นของสาววัยรุ่น ข้าอยากจะขอเอาไว้เป็นเมียข้า ส่วนรอยเท้าที่ใหญ่กว่าคงเป็นของสาวใหญ่ ขอท่านพ่อรับเอาไว้

ท้าวจันทรเสนได้ยินดันนั้นก็เห็นดีเห็นงามเเละตกลงคำมั่นนั้นเเล้วพากันสะกดเดินตามรอยเท้านั้นไปเรื่อยๆ

จนไปอจอกับสองเเม่ลูกที่กำลังหลบหนีมา เเต่พอลองพินิจคิดดูดีๆ ปรากฏว่ารอยเท้าของสาวทั้งคู่สลับกับที่พวกชายทั้งสองคิดเอาไว้

เมื่อรอยเท้าใหญ่นั้นเป็นของพระธิดา ส่วนรอยเท้าเล็กนั้นเป็นของมเหสีที่ดูไม่ได้มีอายุมาก


ถึงจะรู้เช่นนั้นเเล้ว เเต่ทั้งสองคู่ก็ยังคงตัดสิ้นใจคำเดิมไม่เปลี่ยน ท้าวจันทรเสนก็ได้ตกเเต่งกับสาวรุ่นเช่นพระธิดา ส่วนพระโอรสก็ได้เเต่งกับพระมเหสี

พอนานวันเข้าทั้งสองนางจึงได้ให้กำเนิดทายาทออกมา

พอถึงตรงนี้เวตาลจึงได้ถามกับพระวิกรมาทิตย์ว่า

เวตาล: ท่านคิดว่าเมื่อบุตรทั้งสองคลอดออกมาเเล้วจะมีการเรียกลำดับญาติกันเช่นไร

พระวิกรมาทิตย์: ........

พระวิกรมาทิตย์ไม่ได้โต้ตอบอะไรเพราะการเดินไปกลับมาเช่นนี้ทำพระองค์เกิดสติมากขึ้น

ถึงเวตาลจะยั่วยุมากเพียงใดพระวิกรมาทิตย์ก็ไม่ได้เเสดงอาการอะไรออกมา จนเวตาลเริ่มโมโห

เวตาลเกิดคิดเล่เหลี่ยมที่จะทำให้พระวิกรมาทิตย์เสียความเอเลเเกนท์ จึงยกมือทั้งสองทำสัญลักษณ์ประหลาด

เวตาล : หึ....กางอนาเขต!

เพียงชั่วเเวบตาเดียวพระวิกรมาทิตย์ก็เหมือนถูกดูดเข้าไปในอีกโลกที่ไม่เหมือนเช่นเดิม


ภาพตรงหน้าที่เห็นเป็นเวตาลตนเดิมเเละข้างๆเป็นสาวน้อยที่ใส่ชุดไม่คุ้นตากับยุคสมัย ยิ่งเกิดคำถามให้เเก่พระวิกรมาทิตย์มากขึ้นไปอีกว่าเกิดอะไรขึ้น

พระวิกรมาทิตย์: นะ....นี้มัน! อะไรกันนะ!! ที่นี้ที่ไหน!

เซเลอร์มูน : ไม่ทันเเล้วล่ะ ตัวเเทนเเห่งดวงจันทร์จะลงทัณฑ์เเกเอง!

ทันทีที่เซเลอร์มูนร่ายคาถาเสร็จร่างกายขาวซีดกับเสื้อคลุมที่ดูน่ากลัวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพระวิกรมาทิตย์ 

พระวิกรมาทิตย์: ละ....หลอด วอเดอร์มอร์

ถึงจะตกใจกับสิ่งที่เห็นเเต่พระวิกรมาทิตย์ไม่ได้เกรงกลังกับสิ่งเล้าตรงหน้าจึงควักดาบขึ้นมาต่อสู้ 

วอเดอร์มอร์: หึ.....อาวาดาเคดราฟรา!!

เเต่เพียงชั่วครู่เวทมนต์สีเขียวพุ่งตรงจากปลายไม้กายสิทธิ์เเละจบลงที่ร่างกายกำยำของพระวิกรมาทิตย์ลงล้มลงเเละสิ้นใจในที่สุด

เวตาลที่เห็นดั้งนั้นก็ยิ้มเเละหัวเราะออกมาดังลั่นทั่วป่า พร้อมกับพูดปิดท้ายว่า

เวตาล: ข้าขอรับวิญญาณไปล่ะ.....เจ้าชายของข้า


-END-












วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2564

เเนะนำตัวละครจากเรื่อง tougem anki ส่วงครามเลือดอสูร

 

.

เรื่องย่อ
Tougen Anki
.
อิจิโนเสะ ชิกิ เขาใช้ชีวิตมาโดยไม่รู้เลยว่าความจริงแล้ว เขานั้นเป็นผู้สืบทอดสายเลือดของยักษ์ แต่แล้ววันหนึ่งมีชายปริศนาได้บุกเข้ามาในบ้านของเขา เพื่อพยายามลอบสังหารพ่อบุญธรรมของอิจิโนเสะ ทำให้ความจริงนั้นเปิดเผยว่า แท้จริงแล้วในโลกนี้มีโมโมทาโร่กับยักษ์เคยอาศัยอยู่ร่วมกันมาก่อน อิจิโนเสะจึงต้องตกไปอยู่ในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจของสองเผ่าพันธุ์




อิชิโนะเสะ ชิกิ 一ノ瀬四季 อายุ : 17 วันเกิด : 4 กุมภาพันธ์ เป็นคนที่ค่อนข้างรักเพื่อน ให้ใจกับเพื่อนกับครอบครัวเยอะมาก โผงผางบ้างในบางครั้งแต่เป็นคนที่เชื่อถือได้เลยคนนึง พระเอกคนเก่งของด้อมโทเง็น ✅



โคกาซากิ จิน 皇后崎迅 อายุ : 17 วันเกิด : 17 กันยายน หลายๆคนน่าจะเมนเด็กคนนี้ เป็นคนที่แบบนิ่งๆไม่อยากสุงสิงกับใครเพราะคิดว่าคนอื่นน่ารำคาญ เป็นเด็กที่มีความแค้นในอดีตเกี่ยวกับครอบครัว แอบชอบกินของหวานด้วย



คิริยามะ โรคุโระ 霧山ろくろ อายุ : 17 วันเกิด : - เป็นคนขี้กลัว ค่อนข้างกลัวการเข้าใหล้คนอื่นมีความคิดลบอยู่ตลอดเวลา แค่ปวดท้องน้องก็บอกว่าตัวเองจะตายแล้ว มีปมกับเพื่อนวัยเด็ก



อิคาริ ยาโอโรชิ อายุ : 17 วันเกิด : 11 พฤศจิกายน เป็นคนที่มั่นใจในตัวเองสูง เป็นเด็กฉุนเฉียวด้วย น้องค่อนข้างโกรธง่ายเลย แต่เป็นคนที่เก่งมากๆคนนึงเลยนะ!! เชื่อว่าจะต้องมีอายุมากกว่า 20 ก่อนถึงจะสามารถมีอะไรกับเพศตรงข้ามได้ (หัวโบราณ555555)






ยูสุรุเบะ จูจิ ゆるべじゅうじ อายุ : 17 วันเกิด : - เป็นเด็กที่เรียกว่าตั้งใจเรียนเลย ค่อนข้างมีเป้าหมายชัดเจน แต่น้องมีนิสัยที่ไม่ค่อยดี ความจริงไม่แนะนำให้ชอบตัวละครนี้ น้องเคย sexual harassment ตัวละครผู้หญิง เพราะฉะนั้นแล้วแต่ดุลพินิจของทุกคนเลยคับ





โฮมาเระ เบีบวบุกาอุระ อายุ : 17 วันเกิด : 14 กุมภาพันธ์ ( วาเลนไทน์ ) เป็นเด็กที่ไม่มั่นใจในตัวเองแบบ มากๆๆๆๆๆ กลัวการเข้าสังคม ชอบโทษตัวเองเวลาที่เหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น มีอดีตที่ยังไม่เคยเล่า แถมน้องชอบกินถั่วงอกด้วย!! ( น่ารักมากกก )





คุอินะ ซาซานามิ อายุ : 17 วันเกิด : - เป็นคนที่ชอบของสวยๆงามๆ มีความมั่นใจในตัวเอง เคยอยู่กับแก๊งนักเลงน้องเลยค่อนข้างห้าว ตอนนี้น้องมีคนที่ชอบอยู่ด้วยนั่นคือคิริยามะ กุ้กกิ้กเว่อๆๆ





มุดาโนะ นาอิโตะ อายุ : - วันเกิด : 31 ธันวาคม ไม่เคยยิ้มเลยซักครั้ง แต่เป็นคนที่แคร์คนอื่นมากๆมักจะสอนเด็กเวลาที่เด็กๆสับสนหรือกังวล ชอบโรลเลอร์สเก็ตเพราะมันสามารถเคลื่อนที่ได้เร็ว มีอดีตที่ยังไม่เคยพูดถึง





โออิรันซากะ เคียวยะ อายุ : - วันเกิด : - เป็นคุณหมอคนเดียวของฝั่งโอนิที่เคยมีบท เป็นเพื่อนสมัยเรียนกับมุดาโนะด้วย เป็นคนค่อนข้างร่าเริงและชอบสาวๆเป็นพิเศษ ✅







โยโดกาวะ มาซุมิ อายุ : - วันเกิด : - เป็นคนที่ตรงกันข้ามกับมุดาโนะโดยสิ้นเชิงเพราะเขายิ้ม ยิ้มมาตลอดทั้งเรื่องตั้งแต่เปิดตัว จะมีเหมือนมุดาโนะอยู่อย่างนึงคือ เป็นคนที่เดาใจไม่ได้และรอบคอบมาก สามารถประเมินสถานการณ์ได้ดีเยี่ยม เป็นคนที่น่ากลัวมากๆคนนึง










แนะนำตัวละคร เข้าอ่านหน่อยคับ

  เเนะนำตัวละครเเบบฉ่ำ สุเทษณ์ เป็นเทวดาที่เเอบรักนางมัทนามานานคับเเต่อาภัพรักไม่เคยได้สมหวังกับนางสักครั้ง เป็นคนครั่งรัก เเล้วก็ปากหวานม...